กระจก

กระจก หมายถึงวัสดุที่ทำมาจากแก้ว ซึ่งมีองค์ประกอบหลักทางเคมีคือซิลิคอน ซึ่งสามารถหลอมและนำไปขึ้นรูปได้ เมื่อเย็นตัวแล้วมีลักษณะ โปร่งใส และเป็นของแข็งโดยไม่จับผลึก (มีค่าความหยัดตัวสูง) กระจกจึงสามารถแตกได้เหมือนแก้ว และมีความคมมากกว่าแก้วเมื่อแตกเพราะมีความบางในการผลิต

ประเภทของกระจก แบ่งได้ดังนี้

  • กระจกโฟลต (Float Glass) 
  • กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass)
  • กระจกลามิเนต (Laminated Glass)

กระจกโฟลต (Float Glass)

          กระจกโฟลต คือ กระจก ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยระบบโฟลตอันทันสมัย ระบบดังกล่าวจะช่วยให้ผิวของ กระจก ทั้งสองด้านเรียบสนิทเพื่อการรับชมวิวภายนอกที่ชัดเจนกว่า กระจก ทุกประเภท กระจก โฟลตเป็น กระจก ใสที่ถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้งานในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานตกแต่งผลิตภัณฑ์ และเหมาะกับการใช้งานในอาคารสมัยใหม่ที่ต้องการช่องเปิดขนาดใหญ่ ความหนามีให้เลือกตั้งแต่ 2 – 20 มม. กว้างตั้งแต่ระดับ 3 เมตร ยาวได้ถึง 12 เมตรต่อบาน

               คุณสมบัติที่น่าสนใจของ กระจกโฟลต (Float Glass) 

  • โปร่งใส ให้แสงส่องผ่านสูง
  • สามารถนำไปเคลือบโลหะ เป็นกระจกสะท้อนแสง และกระจกประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี
  • สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลายรูปแบบ ตามความต้องการในการใช้งาน
  • สามารถนำไปแปรรูป เป็นกระจกนิรภัยลามิเนต กระจกฉนวนความร้อน กระจกเคลือบสี กระจกเงา กระจกดัดโค้ง กระจกพ่นทราย กระจกแกะสลัก กระจกเพ้นท์ และอื่นๆ เป็นต้น 

กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass)

  • สามารถรับแรงที่มากระทบซึ่งเกิดจากการกระแทกของมนุษย์ แรงดันจากลม หรือแรงดันจากน้ำ
  • สามารถทนรับแรงกระทบได้มากกว่ากระจกธรรมดาในความหนาเดียวกัน 3 – 5 เท่า และเนื่องจากเมื่อกระจกเทมเปอร์แตก จะกลายเป็นเม็ดละเอียดเหมือนเม็ดข้าวโพด จึงสามารถลดอันตรายจากกระจกบาดได้
  • ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ดี 

          กระจกเทมเปอร์ คือกระจกนิรภัยที่ผลิตมาจากกระจก Float ที่นำมาให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 650 – 700 องศาเศลเซียส และทำให้กระจกเย็นลงโดยการเป่าลมเย็นเข้ากระจกทั้งสองด้าน จากความแตกต่างของอุณหภูมิด้านในและด้านนอกของกระจก จะทำให้กระจกสามารถรับแรงต้านจากภายนอกได้มากกว่าถึง 10 เท่า และยังสามารถดัดได้มากกว่าถึง 3 เท่า โดยกระจกเทมเปอร์มีคุณสมบัติดังนี้

          จากคุณสมบัติของกระจกเทมเปอร์ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้กระจกเทมเปอร์นิยมนำมาใช้ในอาคารต่างๆ ตั้งแต่ภายนอกจนถึงภานในอาคาร เช่น ใช้เป็นหน้าต่าง หรือผนังกระจกของอาคารในบริเวณที่ต้องเจอกับความร้อนสูง ใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ เช่นชั้นวางของ ชั้นโชว์สินค้า โดยเฉพาะตู้โชว์สินค้าอัญมณี เพราะมีความโปร่งแสงและมีความคงทนสูง และใช้เป็นประตูบานเปลือย ในการทำฉากกระจกกั้นห้องน้ำ ผนังกั้นห้องภายในอาคารได้

กระจกลามิเนต (Laminated Glass)

          กระจกลามิเนต จัดเป็นกระจกนิรภัยชนิดหนึ่ง ที่เวลาแตกแล้วเศษกระจกจะยังคงยึดติดกันโดยไม่ร่วงหล่น เพราะมีชั้นฟิล์มที่ยึดเกาะระหว่างแผ่นกระจกเหมือนกับใยแมงมุม โดยเป็นการนำเอากระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safe Glass) หรือกระจกธรรมดา (Annealed Glass / Floated Glass) จำนวน 2 แผ่น หรือ มากกว่า แล้วนำมาประกบติดกันโดยมีชั้นฟิล์มคั่นกลางระหว่างกระจก เราจึงเรียกกระจกที่ผ่านกระบวนการผลิตในลักษณะนี้ว่า กระจกลามิเนต (Laminated Glass)

           กระจกลามิเนต คือ การนำกระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safe Glass) หรือกระจกธรรมดา (Annealed Glass / Floated Glass) ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป มาทำการ “ลามิเนต” ทำเป็นชั้นๆ โดยประกบคั่นกลางระหว่างแผ่นกระจกด้วยฟิล์ม PVB (Poly Vinyl Butyral) หรือ EVA (Ethylene Vinyl Acetate) เพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานที่ต้องการความแข็งแกร่งมากขึ้น และตอบสนองการใช้งานในด้านความปลอดภัยที่สูงกว่ากระจกประเภทอื่น จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการรีดด้วย Roller ซึ่งทำให้ PVB Film ยึดติดเข้ากับกระจก หลังจากนั้นกระจกที่ประกบแล้วจะถูกนำไปอบในเตา Auto Clave ที่ควบคุมอุณหภูมิ และความดันที่เหมาะสมเพื่อไล่อากาศออกจนหมด ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต

             คุณสมบัติเด่นของกระจกลามิเนต 

  •  เมื่อกระจกได้รับความเสียหายจนเกิดการแตก เศษกระจกจะไม่ร่วงหล่นลงมา ซึ่งช่วยลดอันตรายได้มากขึ้น 
  •  ช่วยป้องกันเสียงรบกวนภายนอก และเก็บเสียงได้ดีกว่ากระจกธรรมดา
  •  ช่วยป้องกันความร้อนได้ดี และกันรังสียูวีได้มากกว่า 90 %
  •  ทนต่อแรงดันลมในที่สูง ทนต่อแรงอัดกระแทก และช่วยป้องการบุกรุกจากการโจรกรรมได้
  •  สามารถเคลือบสีได้ตามความต้องการ

credit: Wazzadu Encyclopedia